วิธีดูนาฬิกาRolexของแท้

วิธีดูนาฬิกาRolexของแท้

น้ำหนักนาฬิกาRolexแท้ทุกเรือนจะผลิตด้วยเหล็กกล้าอย่างดี (904L)ถ้านาฬิกาโรเล็กซ์ Rolex สีทองก็จะเป็นทองแท้ 18K หรือแพลตตินั่ม ซึ่งจะทำให้มีน้ำหนัก หนักเป็นพิเศษ ในขณะที่ของปลอมจะทำด้วยเหล็กที่มีคุณภาพต่ำกว่า ทำให้มีน้ำหนักเบากว่า

สีสัน นาฬิกาRolexของแท้โดยเฉพาะสีทอง18K จะมีความเงางามและงดงามซึ่งจากของปลอมที่จะใช้ทอง14K หรือใช้ชุบทองจึงทำให้มีสีเหลืองจัดจ้านเกินไปหรือสีออกโทนส้มหรือเงาเกินไป

การเคลื่อนไหวของเข็มวินาที นาฬิกาRolex(กรณีไม่ใช่ระบบคว็อตซ์)ของแท้จะมีการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นกว่า ด้วยความถี่ประมาณ 5-8 ครั้งต่อวินาทีจึงดูราบเรียบไม่กระตุกเหมือนกับของปลอมที่จะทำความถี่ได้เพียง 3-4 ครั้งต่อวินาทีเท่านั้น

ฝาหลังนาฬิกาโรเล็กซ์ Rolex นาฬิกาRolex ไม่เคยผลิตนาฬิกาหลังเปลือย ฝาหลังนาฬิกาRolex ส่วนใหญ่จะไม่ Logo และเลขรุ่นหรือข้อมูลใดๆสลักอยู่บนฝาหลัง ยกเว้นบางรุ่นดังต่อไปนี้

1. นาฬิกาRolex ของผู้หญิงบางรุ่นที่ผลิตก่อนทศวรรษที่ 90 ซึ่งจะมีคำว่า Original Rolex Design หรือคล้ายๆกัน แกะสลักเป็นแนวโค้งตามขอบตัวเรือน รวมถึงนาฬิกาRolex รุ่นเก่าๆ บางรุ่นที่อาจมี Logo รูปมงกุฎอยู่ด้านบน หรือ Serial No. อยู่ด้านล่างของฝาหลัง

2. รุ่น Sea-Dweller ที่มีคำว่า ROLEX OYSTER ORIGINAL GAS ESCAPE VALVE

3. รุ่น Submariner และ Sea-Dweller Comex ซึ่งแกะสลักคำว่า ROLEX และ COMEX พร้อมด้วยตัวหนังสือ 2,3 หรือ 4 หลัก (รุ่นนี้เป็นรุ่นที่นักสะสมต้องการและมีการปลอมกันมากในต่างประเทศ) นาฬิกาปลอมส่วนใหญ่มักจะนิยมแกะสลัก Logo รูปมงกุฎ เลขรุ่น รวมทั้ง Serial No. ไว้บนฝาหลังเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ แต่แท้จริงแล้ว นาฬิกาRolex จะไม่มีลวดลายใดๆ และนาฬิกาRolex จะมีฝาหลังเกลี้ยงๆ เป็นส่วนใหญ่

สติ๊กเกอร์ที่ฝาหลังนาฬิกาRolex ของแท้จะเป็นลาย hologram ซึ่งจะดูสวยงามและเป็นลักษณะ 3 มิติ มีรูปมงกุฎอยู่ตรงกลางเหนือเลขรุ่น  อย่างไรก็ตามเมื่อใส่นาฬิกาRolexไปนานๆ ตัวลาย hologram จะจางหายไปและอาจเหลือเพียงร่องรอยของตัวมงกุฎและเลขรุ่นเท่านั้น Sticker ของปลอม จะเลียนแบบไม่ได้เหมือนของจริง กล่าวคือลายจะดูเรียบๆไม่เป็นสามมิติ รวมทั้งเลขรุ่นมักจะไม่ค่อยตรงกับข้อเท็จจริง

กระจกนาฬิกาRolex จะใช้กระจก แซฟไฟร์ (รุ่นเก่าก่อนปี 1991 อาจจะเป็นเซลลูลอยด์) ในขณะที่ของปลอมถ้าใช้กระจกธรรมดาจะสังเกตุได้ง่ายคือ บริเวณขอบกระจกที่ยื่นขึ้นมากจากขอบหน้าปัด (Beveled edge) เราจะมองเห็นเป็นสีกระจกออกเขียว หรือขาวขุ่น ขณะที่นาฬิกาRolex ของแท้เราจะเป็นเป็นสีเรียบใส นอกจากนี้เรามีวิธีทดสอบง่ายๆ ว่ากระจกเป็นแซฟไฟร์ หรือไม่ ทำได้โดยการหยดน้ำลงบนกระจก ถ้าน้ำรวมตัวกันเป็นก้อนแสดงว่าเป็นแซฟไฟร์ แต่ถ้าน้ำไม่รวมตัวกันแสดงว่าเป็นกระจกธรรมดา

ตัวเลนส์ขยายดูวันที่ นาฬิกาRolex ของแท้จะมีกำลังขยายถึง 2.5 เท่า ทำให้เราสามารถอ่านวันที่ได้ง่ายชัดเจนเต็มหน้าจอ ซึ่งคุณจะสังเกตุเห็นความแตกต่างของขนาดตัวเลขวันที่ จากการมองผ่านเลนส์กับมองโดยไม่ผ่านเลนส์ ของปลอมส่วนใหญ่จะสามารถขยายได้ 1.5 เท่า ทำให้ตัวเลขดูเล็กกว่า อีกทั้งการจัดวางตำแหน่งทั้งตัวเลนส์และตัวเลข ยังทำได้ไม่คอยดีด้วย

พรายน้ำ นับตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา นาฬิกาRolex ได้เปลี่ยนการใช้พรายน้ำจาก Tritium มาเป็น Super Luminova ซึ่งมีความสว่างกว่าเดิม 10 เท่า Super Luminova จะมีคุณสมบัติที่ดีคือไม่มีอายุการใช้งาน (ซึ่งแต่เดิม Tritium จะมีอายุใช้งานประมาณ 12 ปี) และจะทำงานโดยการชาร์ตกับแสงไฟ ไม่ว่าจะเป็นแสงจากหลอดไฟ หรือแสงอาทิตย์ ดังนั้น หากเป็นนาฬิกาที่ผลิตตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา หากคุณพบว่าพรายน้ำไม่สว่าง ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นของปลอมหรือไม่ก็เป็นของแท้ที่มีปัญหา

ยางมะยม Triple Lock ที่ใช้กับรุ่น Submariner,Sea Dweller และ Daytona เมื่อเราคลายเกลี่ยวดึงมะยมออกมา จะเห็นยางเส้นเล็กๆ อยู่ ซึ่งตรงนี้ ของปลอมส่วนใหญ่จะละเลยไป การหมุนมะยม เมื่อคลายเกลียวออกมาในตำแหน่งที่ 1 เพื่อการไขลาน หามีความรู้สึกแน่นหรือไม่ราบเรียบ หรือมีเสียงผิดปกติ ก็จะเป็นข้อสังเกตอีกอย่างว่านาฬิกาไม่ได้คุณภาพ

Hacking Feature คือเมื่อเราดึงมะยมออกมาในตำแหน่งที่ 2 สำหรับการตั้งเวลา เข็มวินาทีจะต้องหยุดเดิน ซึ่งระบบนี้เรียกว่า Hacking Feature ซึ่งนาฬิกาRolex คิดค้นขึ้นมาใช้เมื่อตอนต้น ทศวรรษที่ 70 ดังนั้นหากเป็นนาฬิกาที่ผู้ขายอ้างว่าเป็นนาฬิกา Vintage ผลิตก่อนปี 1970 เมื่อดึงมะยมออกมาตั้งเวลา หากเข็มนาทีหยุด แสดงว่าเป็นของปลอม ในทางกลับกันหารเป็นนาฬิกาหลังยุค 70 หาดึงมะยมออกมาตำแหน่งตั้งเวลาแล้วเข็มวินาที ยังเดินอยู่แสดงว่าเป็นของปลอมเช่นเดียวกัน

วันที่ ตัวเลขแสดงวันที่ ทุกตัวตั้งแต่ 1 ถึง 31 จะต้องคมชัดและวางตำแหน่งอยู่ตรงจุดกึ่งกลางของหน้าต่างเลนส์ขยาย ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนง่าย แต่แท้ที่จริงแล้ว ทำได้ยากซึ่งของปลอมมักจะไม่สามารถทำได้ คุณควรหมุนดูวันที่ให้ครบถ้วนมากทีสุด หากมีตัวเลขตัวหนึ่งหรือหลายตัวอยู่ชิดข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป นั้นแสดงว่าน่าจะเป็นของปลอม อีกประกาหนึ่ง พื้นสีของปลอมมักจะออกสีขาวอมเหลือง (Off-White)

Quick set Double quick set Feature ในยุคก่อนที่จะปรับตั้งวันหรือวันที่ด้วยมะยมได้ นาฬิกาจะเปลี่ยนวันที่โดยการหมุนของเข็มนาฬิกาผ่านเวลาเที่ยงคืนเท่านั้น ระบบ Quick set เกิดขึ้นเพื่อความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถตั้งวัน และวันที่ ผ่านทางมะยม ซึ่งระบบ Quick set (ตั้งวันที่)ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970 ส่วน Doublequick set(ตั้งวัน และวันที่)เริ่มนำมาใช้เมื่อตั้งแต่ปลายปี 1990 สิ่งที่เราควารตรวจสอบก็คือ ทดลองหมุนตั้งวันและวันที่ หากการเปลี่ยนมีการกระตุก หรือติดขัด หรือหมุนแล้วรู้สึกหลวมๆ ไม่ค่อยเคลื่อนตัว แสดงว่าเป็นของปลอม หรือเป็นของแท้ที่มีปัญหา สภาพไม่ดี

ฟังก์ชั่นพิเศษต่างๆ นาฬิกาที่ทำเลียนแบบส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องฟังก์ชั่นพิเศษต่างๆ ให้เหมือนกับของจริง ตัวอย่างเช่น รุ่น Daytona จะมี 3 หน้าปัดย่อย กล่าวคือที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาจะคำนวณจำเวลาเป็นนาทีตรงตำแหน่ง 9 นาฬิกาบอกชั่วโมง แต่ที่บริเวณเลข 6 นาฬิกาจะไปหน้าปัดย่อยพร้อมด้วยเข็มวินาทีที่เดินตามปรกติซึ่งจะต้องหมุนเดินทันทีเมื่อมีการขึ้นลานแล้ว ส่วนเข็มวินาทีที่ใช้จับเวลาจะเป็นเข็มใหญ่ที่อยู่ด้านบนสุดเหนือเข็มนาที ซึ่งเราจะต้องเช็คฟังค์ชั่นต่างๆเหล่านี้ เช่นเมื่อกดปุ่มจับเวลา เข็มนาทีใหญ่ด้านบนสุดจะต้องเริ่มทำงานและเข็มที่หน้าปัดย่อยก็จะต้องเดินตามฟังก์ชั่นด้วย

Marking บนหน้าปัด ของปลอมจะมีคุณภาพการพิมพ์ด้อยกว่า ซึ่งสามารถเห็นได้โดยแว่นขยาย ถ้าส่องดูจะพบรอยขีดข่วนบนหน้าปัด ฝุ่นละออง จุดหรือครบเล็กๆบนตัวหนังสือ ขนาดตัวหนังสือ รวมทั้งFont ที่ใช้ จะแตกต่างจากของจริง

ขอบหน้าปัด (Bezel)รุ่นที่เป็นนาฬิกา Sport เช่น Submariner,Sea-Dweller และGMT ตัวขอบหน้าปัดที่มีสเลจะหมุนได้แน่นราบรื่น (มี120 คลิกหรือ 2 คลิก ต่อ 1 วินาที) ของปลอมจะมีลักษณะหลวมหรือ แน่นเกินไปเสียงที่หมุนจะดังกว่า และมีเพียง 60 คลิกเท่านั้น

One way Gas escape Valve รุ่น Sea-Dweller จะมีช่องวงกลมเล็กๆอยู่ตรงข้ามเม็ดมะยมซึ่งทำหน้าที่ปล่อยอากาศเพื่อลดแรงดังในเวลาที่อยู่ภายใต้สภาพแรงกดดันเมื่อดำน้ำลึก ซึ่งของปลอมส่วนใหญ่จะไม่มี Valve นี้อยู่ให้เห็น

Micro-Etching Rolex ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา จะมี Logo รูปมงกุฎที่เล็กมากอยู่บนตำแหน่ง 6 นาฬิกา และเช่นเคยของแท้จะมีลักษณะสวยงามคมชัด และสัดส่วนที่ถูกต้อง

หมายเลขรุ่น (Case Reference Number)ที่บริเวณด้านข้างตัวเรือนที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา จะมีตัวเลขแกะสลัก ซึ่งเมื่อถอดสายออกจากตัวเรือนก็จะสามารถมองเห็นได้ ซึ่งจะทำให้สามารถเทียบเคียงสิ่งที่บอกไว้ตามตัวเลขกับนาฬิกาจริงตรงกันหรือไม่ กล่าวคือ นาฬิกาRolex ในยุคก่อน 80 จะมีตัวเลข 4 หลัก แกะสลักไว้ จนกระทั้งประมาณปี 1985 จึงเริ่มมีตัวเลข 5 หลักอย่างเป็นระบบเพื่อบอกลักษณะนาฬิกาบางประกาดังนี้

ตัวเลข 3 หลักแรก จะบอกถึงรุ่น หรือ Collectiong นาฬิกาเรือนนั้น

ตัวเลข หลักที่ 4 จะบอกถึง ประเภทของขอบหน้าปัด (Bezel)

ตัวเลข หลักที่ 5 จะบอกถึง วัสดุที่ใช้

ตัวอย่างเช่น รุ่น 16233

162 หมายถึง รุ่น Datejust

3 หมายถึง Fluted Bezel

3 ตัวท้าย หมายถึง สแตนเลสกับทอง

จนถึงปี 2000 ได้เปลี่ยนเป็น 6 หลักอีก โดยเพิ่มเลข 1 เข้าไปด้านหน้าเช่น Daytona รุ่น 16523 ก็เป็น 116523

Visitors: 537,339